สำหรับคนรักรถยนต์เป็นชีวิตจิตใจ แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่ชอบให้รถของพวกเขามีรอยขีดข่วนและมีสีรถที่เงางามให้เหมือนรถใหม่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้ววิธีที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการ เคลือบแก้ว หรือ เคลือบสี แต่ทั้งนี้แล้วทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างไร และเคลือบแบบไหนถึงดีที่สุดสำหรับคนรักรถ วันนี้เรามีคำตอบให้คุณครับ
สนใจเคลือบแก้ว ราคาถูก สอบถามได้ทันที
ดังนั้นแล้ว วันนี้ Topfilm เราจึงได้รวบรวมความแตกต่างจากการเคลือบทั้ง 2 อย่างมาให้ทุกท่านได้ทำการศึกษากันก่อนเลย แต่ก่อนที่เราจะมาเปรียบเทียบกันว่าอะไรดีกว่ากัน เราจะต้องรู้นิยามกันก่อนว่า การเคลือบแก้ว คืออะไร? และการเคลือบสี คืออะไร?
หลายคนยังสนใจบทความเพิ่มเติม: ติดฟิล์มกันรอย ดีอย่างไร เรียกรุ่นไหนดี?
เคลือบแก้ว คืออะไร?
การเคลือบแก้ว(Glass Coating) คือ การเคลือบเพื่อเพิ่มชั้นสีของรถนั้นมีความแข็งแรงและหนาขึ้นโดยใช้ Silicon dioxide (SiO2) หรือ ซิลิกา ซึ่งซิลิกานั้นทุกคนก็คงจะทราบกันดีว่าเป็นส่วนผสมในการผลิตแก้วนั่นเอง สารซิลิกาจะไม่ทำปฏิกิริยากับสีของรถ แต่อาจจะทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางชนิด ทำให้สารเคลือบแก้วอาจจะมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ก็มีจุดเด่นตรงที่สามารถป้องกันรอยคราบน้ำได้ดี
โดยชั้นสีของการเคลือบแก้วรถนั้นจะมีความหนาที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1-9H ซึ่งการเคลือบแก้วนั้นก็จะมีหลายคุณภาพ หลายราคา หลายชื่อเช่น เคลือบแก้วเงา เคลือบแก้วเซรามิค แล้วแต่ตามท้องตลาด เป็นต้น
5 ข้อดีการเคลือบแก้ว(Glass Coating)
การเคลือบแก้ว มีข้อดีอย่างไรบ้าง วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึง 5 ข้อดีของการเคลือบแก้วกัน
1. เพิ่มความทนทานและป้องกันรอยขีดข่วน
การเคลือบแก้วรถยนต์ ทำให้ผิวรถยนต์ทนทานต่อรอยขีดข่วน และความเสียหายจากสารเคมี ขี้นกและอื่นๆอีกมากมาย
2. เคลือบแก้วทำให้น้ำไม่เกาะบนตัวรถ
ทำให้ไม่เกิดรอยคราบน้ำทิ้งบนตัวรถ เพราะฉะนั้น เวลาฝนตก ทำให้น้ำไม่เกาะบนกระจกหน้า ไม่ต้องปัดน้ำฝนบ่อยๆ เพิ่มความคมชัด และความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ อีกทั้งเวลาล้างรถ ยังสามารล้างฝุ่นหรือสิ่งสกปรกออกอย่างง่ายดาย
3. การเคลือบแก้วสามารถปกป้องรังสี UV
การเคลือบแก้วยังสามารถป้องกันรังสี UV จากแสงแดดที่เป็นต้นเหตุของรถสีซีดเมื่อจอดจากแดดนานๆด้วย อีกทั้งยังป้องกันรังสี UV ที่เข้ามาในกระจกรถ คล้ายๆกับฟิล์มกรองแสงอีกด้วย
4. การเคลือบแก้วเพิ่มมูลค่าให้กับรถของคุณ
การเคลือบแก้วทำให้รถของคุณ ดูเงา ดูใหม่อยู่เสมอ ยืดอายุการใช้งาน ทำให้เวลาขายต่อมือ 2 ราคาไม่ตก คุ้มค่าเคลือบแน่นอน
5. เคลือบแก้วสามารถป้องกันสะเก็ดหินได้
เวลาขับรถไวๆต่างจังหวัด มักจะเจอะหินกระเทาะหน้ารถ ถ้ามีการเคลือบแก้ว จะช่วยปกป้องหินก็จะไม่กระเทาะเข้าไปถึงข้างในสีรถ ทำให้ไม่ต้องทำสีรถใหม่
การเคลือบแก้ว(Glass Coating) VS การเคลือบเซรามิค เหมือนกันไหม?
การเคลือบเซรามิค (Ceramic Coating) คือ การเคลือบรถโดยใช้สารประกอบที่มีส่วนผสมของคาร์บอนและซิลิก้า หรือ ที่เราเรียกว่า สารซิลิกอนคาร์ไบ (SiC) ซึ่งการเคลือบเซรามิค จะมีความแข็งแรง หนากว่า เกาะติดกับพื้นผิวรถยนต์ได้ดีกว่า และทนทานต่อการกัดกร่อนต่อกรด ด่าง สภาพแวดล้อมที่โหดๆ มากกว่าการเคลือบแก้ว แต่ราคาการเคลือบเซรามิคก็จะแพงกว่าเคลือบแก้วด้วยนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.washmenow.ca/ceramic-coating-vs-glass-coating/
ราคาเคลือบแก้วรถยนต์ คิดอย่างไร
ราคาเคลือบแก้วรถยนต์ ขึ้นอยู่กับขนาดรถยนต์ คุณภาพน้ำยาเคลือบรถ และ ชั้นความหนาของการเคลือบแก้ว โดยทั่วไป ราคาเริ่มต้นของการเคลือบแก้ว รถขนาดเล็ก(S)
- เคลือบแก้ว 1 ชั้น รับประกัน 1 ปี ราคา 14,000 บาท
- เคลือบแก้ว 2 ชั้น รับประกัน 3 ปี ราคา 22,500 บาท
- เคลือบแก้ว 4 ชั้น รับประกัน 5 ปี ราคา 28,000 บาท
- เคลือบแก้ว 5 ชั้น รับประกัน 6 ปี ราคา 32,000 บาท
ราคาเคลือบแก้วรถยนต์ (2023)
รายการเคลือบแก้วรถยนต์ | S | M | L | XL | XXL |
APS Glass Coating Basic (1ชั้น) | 14000 | 16000 | 17500 | 19000 | 20000 |
APS Glass Coating Gold (2ชั้น) | 22500 | 25000 | 28000 | 32000 | 35000 |
APS Glass Coating Platinum (3ชั้น) | 28000 | 32000 | 35000 | 38000 | 40000 |
APS Glass Coating Exculsive (4ชั้น) | 32000 | 28000 | 42000 | 46000 | 52000 |
สอบถามราคาเคลือบแก้ว ตามรุ่นรถ ราคาถูก โทรเลย
เคลือบสีรถยนต์ คืออะไร?
การเคลือบสีรถยนต์ คือ การ Wax หรือการใช้น้ำยาพิเศษในการเคลือบรถ ซึ่งการเคลือบสีนั้นจะเคลือบที่ชั้นแรกทำให้รถยนต์ของเราดูมีสีสันสดใสอยู่ตลอด อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดคราบรอยขนแมว หรือรอยข่วนต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง ข้อดีคือเราสามารถทำได้ง่ายๆด้วยตนเอง ใช้เวลาการเคลือบไม่นานเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างกับการเคลือบแก้ว หรือ เคลือบเซรามิค ที่ต้องทิ้งรถไว้หลายวัน
แต่ถึงอย่างนั้น การเคลือบสีก็มีระยะเวลาในการเคลือบสีที่ค่อนข้างสั้น ขึ้นอยู่ชนิดการเคลือบสี เช่น การเคลือบสีแบบครีม จะอยู่ได้เพียงแค่ 3-4 วันเท่านั้น ถ้าแบบน้ำจะสามารถอยู่ได้นานถึง 3-4 อาทิตย์ เท่านั้น ทำให้ต้องหมั่นเคลือบกันอยู่บ่อยๆ เพื่อให้รถมีความเงาต่อเนื่องนั่นเอง
เปรียบเทียบกันชัดๆ เป็นข้อๆ ระหว่างเคลือบแก้ว กับเคลือบสี ต่างกันอย่างไร?
สำหรับใครที่กำลังลังเลว่าจะทำการเคลือบแบบไหนดี เราได้ทำการเปรียบเทียบในเรื่องของความคงทน การปกป้อง ราคาและการป้องกันคราบต่างๆ ให้คุณได้ศึกษาและพร้อมนำไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจ อย่างละเอียดเป็นข้อๆกันไปเลย
โดยข้อแตกต่างระหว่าง เคลือบแก้ว กับ เคลือบสี มีดังนี้
1. เรื่องราคา
การเคลือบสี ราคาจะถูกกว่ามาก โดยปกติแล้ว มีราคาอยู่ที่ 300-1,000 บาทโดยประมาณ ราคาแล้วแต่ขนาดของรถ และ ชนิดของน้ำยาที่ใช้เคลือบ ซึ่งการเคลือบด้วยสีนั้นเราสามารถซื้อน้ำยาเคลือบมาทำเองได้ง่ายกว่า
ส่วนการเคลือบแก้วนั้นจะมีราคาอยู่ที่ 10,000-60,000 บาทโดยประมาณ ราคาขึ้นอยู่กับความหนาของแก้วที่เคลือบ หรือปริมาณชั้นที่เคลือบ ว่าเคลือบกันทั้งหมดกี่ชั้น จริงๆแล้วในส่วนของราคาของน้ำยาเคลือบแก้วกับเคลือบสีนั้นก็แทบจะพอๆ กัน แต่ความยากง่ายและระเวลาในการทำ ต่างกันมาก จึงทำให้ราคาเคลือบแก้วแพงกว่าหลายเท่าตัว
2. การป้องกันตัวรถจากสิ่งภายนอก
สำหรับการทำเคลือบสีนั้น จะช่วยในเรื่องของการป้องกันสีของตัวรถให้ยังดูสดใสไม่ให้ดูหมองเร็ว และช่วยป้องกันสิ่งภายนอก เช่น กิ่งไม้ หิน ที่อาจก่อให้เกิดรอยกับตัวรถได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนการเคลือบแก้วนั้น จะเปรียบเหมือนกับการที่เราติดกระจกแก้วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยต่างๆ ซึ่งแก้วมีความแข็งมากพอสมควร ทำให้สามารถป้องกันรอยได้มากกว่า ป้องกันรอยลึกได้ และมีระยะเวลาความคงทนที่ยาวนานกว่าอีกด้วย เคลือบแก้วเพียงครั้งเดียวสามารถอยู่ได้หลายปี
3. ความคงทนของตัวเคลือบ
โดยการเคลือบแก้วนั้นจะมีระยะเวลาในการเคลือบตัวรถอยู่ที่ประมาณ 1-5 ปีโดยประมาณ ส่วนการเคลือบสีนั้นจะมีระยะเวลาอยู่ได้แค่เพียง 3-4 อาทิตย์หรือมากสุดคือไม่เกิน 1 เดือนเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว ถ้าไม่อยากจะต้องเคลือบกันบ่อยๆ ในเรื่องของความคงทนนั้น ต้องยกให้กับการเคลือบแก้วดีกว่า
4. การป้องกันในเรื่องของคราบน้ำ ฝุ่น รอยขีดข่วน
สำหรับในเรื่องของการปกป้องรถจากรอยขีดข่วนหรือคราบต่างๆ นั้น ในส่วนของการเคลือบแก้วจะช่วยเพิ่มความหนาของชั้นสีรถให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ทนทานต่อรอยขีดข่วนหรือรอยต่างๆ ได้ดี และยังลดการเกิดคราบต่างๆ ที่จะมาเกาะตัวรถของเราอีกด้วย อีกทั้งยังไม่เกิดการเกาะของหยดน้ำจึงทำให้น้ำไม่ค่อยเกาะรถของเรา
ส่วนการเคลือบสีนั้น จะช่วยให้รถของเราดูมีสีที่เงางามเหมือนซื้อใหม่อยู่ตลอด เนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันและช่วยลดรอยขนแมวได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะไม่มากพอที่จะช่วยลดการเกาะของคราบสิ่งสกปรกต่างๆได้รวมทั้งฝุ่นได้ทั้งหมด
เคลือบสี หรือ เคลือบแก้ว แบบไหนคุ้มกว่ากัน
ในส่วนของความคุ้มค่า ถ้าหากถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน ก็น่าจะขึ้นอยู่ที่คนใช้งานว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน มีเวลาดูแลรถมากน้อยขนาดไหน และมีงบประมาณมากน้อยขนาดไหน แต่ถ้าให้แนะนำแล้ว การเคลือบแก้ว จะคุ้มค่ามากกว่าในระยะยาว
แต่ทั้งนี้แล้วการเคลือบแก้วนั้นก็มีประสิทธิภาพในการเคลือบและคงทนมากกว่า อีกทั้งยังดูมีความเงางามมากกว่าอีกด้วยและยังเกิดรอยขีดข่วย รอยขนแมวและคราบต่างๆ ได้ยากกว่ามาก เนื่องจากน้ำยาเคลือบมีส่วนผสมของ Silica หรือ Polysilazane นั่นเอง ทำให้รถของเรามีสภาพใหม่อยู่เสมอ ขายรถต่อได้ราคาไม่ตก เนื่องจากไม่มีริ้วรอยนั่นเอง
ซึ่งผมมองว่าการเคลือบแก้ว ถึงแม้ว่าจะมีราคาที่แพงกว่า แต่เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพและความทนทานแล้ว ก็ถือว่าคุ้มค่ากับราคาที่เสียไปครับ
สรุปแล้ว เคลือบแก้ว หรือ เคลือบสีดี?
สำหรับคำตอบนี้ต้องขึ้นอยู่ที่ผู้ใช้งานว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน เพราะทั้งสองมีคุณสมบัติในการปกป้องรอยขีดข่วนและรักษาสีของรถยนต์เหมือนกัน ต่างกันแค่เพียงประสิทธิภาพและระยะเวลาในการเคลือบ
โดยหากคุณชื่นชอบในเรื่องของสีสันตัวรถที่สดใสอยู่ตลอดก็ต้องการเคลือบสี แต่ถ้าเน้นในเรื่องของการป้องกันรอยขีดข่วนและคราบสกปรกต่างๆ ก็ต้องเคลือบแก้ว เท่านั้น
ดังนั้นแล้วขึ้นอยู่ที่ผู้ใช้งานมีความต้องการแบบไหนมากกว่ากัน หากต้องการประสิทธิภาพที่เต็มจำนวนและไม่ต้องเสียเวลาพร้อมกับเสียเงินบ่อยๆ ก็ต้องเป็นเคลือบแก้ว เท่านั้น แต่หากคุณมีเวลาที่ดูแลรถยนต์อยู่ตลอดหรือคนที่มีงบน้อยแต่อยากดูแลรักษารถ ก็ต้องขอแนะนำเป็นการเคลือบสี นั่นเอง