ร้อนแบบนี้! ‘ติดฟิล์มรถยนต์’ ทั้งที เลือกให้ดี ต้องเลือกจากอะไรบ้าง?
เกือบทุกคนที่เพิ่งซื้อรถยนต์มาใหม่ หนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่ต้องนึกถึงและเตรียมเงินไว้คงจะหนีไม่พ้น ‘การเลือกฟิล์มกรองแสง’ เพราะมันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศในเขตร้อนแบบไทยแลนด์ การจะเสี่ยงขับรถยนต์เปลือยเปล่าไปบนถนนในอุณหภูมิและแสงแดดแบบนี้โดยไม่ติดฟิล์มกรองแสง ย่อมจะส่งผลเสียมากกว่าส่งผลดีแน่นอน
แต่อย่างที่รู้กันว่าการจะติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์สักครั้ง ก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย อีกทั้งมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ หลายรุ่นเต็มไปหมด หลายคนในPantip ยังสงสัยว่าการติดฟิล์มกรองแสงนั้นมีประโยชน์อย่างไร แล้วมีวิธีเลือกติดฟิล์มรถยนต์อย่างไรให้ดีที่สุด
วันนี้ TopFilm Thailand เรามีคำตอบครับ ตามไปดูกันเลย!!
ไม่แน่ใจว่าเลือกฟิล์มติดรถยนต์อย่างไร ให้เข้ากับรถของคุณ ปรึกษาเราได้เลย ฟรี!!
หลายคนยังสนใจบทความน่ารู้เพิ่มเติม
5 สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อน เลือกติดฟิล์มรถยนต์?
-
เลือกฟิล์มติดรถยนต์ จากระดับราคา ราคาถูก ราคาแพง
-
ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ทั่วไป ราคาถูก
ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ราคาถูกทั่วไปนั้น ราคาเริ่มได้ตั้งแต่หลักพันต้นๆ ไปจนถึงหลักพันกลางๆ ซึ่งโดยปกติแล้วฟิล์มติดรถยนต์ทั่วไป หรือฟิล์มดำธรรมดานี้ ผลิตมาด้วยกระบวนการย้อมสีให้ดำ อาจจะสามารถป้องกันแสงสว่างได้บางส่วน และกันรังสีจากดวงอาทิตย์ เช่น รังสี UV ได้บ้าง แต่อาจจะไม่ได้มากถึง 99% ขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟิล์ม
แต่ติดฟิล์มดำธรรมดา ก็ไม่ได้รับประกันว่า จะสามารถป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยตรง เพราะว่า ในแสงแดดนั้นมีความร้อนสะสมจากรังสีอินฟราเรด ในปริมาณที่มากกว่า ว่าง่ายๆคือ ติดฟิล์มราคาถูก ดำอย่างเดียว กันแต่แสง แต่ไม่กันความร้อน ถ้าติดฟิล์มเกรดนี้ อาจจะต้องทำใจในการเปลี่ยนฟิล์มบ่อยๆในทุก 1-2 ปี เนื่องจากฟิล์มจะซีดเร็ว และเปลี่ยนเป็นสีออกม่วงๆ
เทคนิคการเลือกฟิล์มราคาถูก คืออย่างน้อย แค่ป้องกันรังสี UVได้ 99% และสีฟิล์มต้องไม่ออกโทนสีม่วง ก็เพียงพอแล้ว
-
ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ระดับกลาง ราคามาตรฐาน
ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ระดับกลาง เป็นฟิล์มกรองแสงที่เคลือบสารกันร้อนมาระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสารโลหะต่างๆ ส่วนมากที่เราเรียกกันทั่วๆไปก็คือ ฟิล์มปรอท นั่นเอง มีความมันวาว กันความร้อนได้ดี กันรังสี UVได้ 99% เป็นเรื่องปกติ แต่กันร้อนได้มากน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคลือบสะท้อนแสง ราคาติดฟิล์มจะอยู่ที่ประมาณ พันกลางๆ เป็นเกรดราคาที่นิยม และขายดีที่สุดในประเทศไทย
เทคนิคการเลือกฟิล์มเกรดระดับกลาง คือ ค่าแสงสะท้อน (VLT) อยู่ระหว่าง 10-30% ค่าการป้องกันรังสีอินฟราเรด(IRR) 40-70% และ รับประกันนานกว่า 5-7 ปีขึ้นไป
-
ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม ราคาค่อนข้างสูง
ฟิล์มกรองแสงราคาสูง ซึ่งจะเหนือกว่าในด้านคุณภาพการป้องกันความร้อน ป้องกันรังสีอินฟราเรด มากกว่าฟิล์มติดรถยนต์ทั่วไป ราคาถูก แต่เมื่อคุณภาพเพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ต้องสูงตามมาด้วยก็คงหนีไม่พ้นราคา ส่วนมากฟิล์มที่ราคาสูงก็คงจะไม่พ้น “ฟิล์มเซรามิค” หรือประเภท “ฟิล์มนาโน”
โดยราคาติดฟิล์มจะเริ่มตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงขั้นหลายหมื่นเลยทีเดียว แต่มันก็คุ้มค่า เพราะฟิล์มกรองแสงระดับนี้ จะมอบคุณสมบัติบางอย่าง เช่น การลดแสงสะท้อนในห้องโดยสารเพื่อให้ขับขี่สบายตา หรือการป้องกันการแตกกระจายแบบนิรภัย การป้องกันความร้อนสูงสุดเกิน 90% เพิ่มมาให้นั่นเอง ถ้างบถึง ยังไงก็อยากให้ติดฟิล์มแบบคุณภาพสูง จะคุ้มค่ากว่าในระยะยาวครับ
เทคนิคการเลือกฟิล์มเกรดพรีเมียม คือ ป้องกันรังสีอินฟราเรด(IRR)ได้มากกว่า 80% ขึ้นไป มีความคมชัด ออกแดดแล้วไม่ขุ่นมัว และ รับประกันนานกว่า 7-10 ปี ขึ้นไป
อ่านเพิ่มเติม:ราคาติดฟิล์มรถยนต์คิดอย่างไร
สอบถามราคาติดฟิล์มรถยนต์ตามยี่ห้อ ปรึกษาเราสิครับ
-
เลือกฟิล์มติดรถยนต์จากชนิดของฟิล์มกรองแสงจากเทคโนโลยีการผลิต
-
การผลิตฟิล์มด้วยเทคโนโลยีการย้อมสี Deep Dye Film
การผลิตฟิล์มกรองแสงประเภทนี้คือ การจุ่มเนื้อพลาสติกด้วยสีย้อม (Dye) เพื่อย้อมสีให้ฟิล์มเป็นสีดำเข้ม ทำให้มีความเข้มตามที่ต้องการ ปิดท้ายด้วยการเคลือบสารป้องกันรังสี UV ซึ่งเทคโนโลยีแบบนี้ทำให้ฟิล์มที่ได้ราคาประหยัด กันแสงได้ดี แต่ยังกันความร้อนได้ไม่ดีเท่าที่ควร
-
การผลิตฟิล์มด้วยเทคโนโลยี Multi Layers Sputtering Film
การผลิตฟิล์มกรองแสงแบบนี้เป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิมที่ใช้มานานแล้ว โดยจะใช้วิธีการซ้อนทับแผ่นโลหะ หรือ สารป้องกันความร้อนให้เป็นชั้น ๆ แล้วก็สามารถป้องกันความร้อนได้จากฟิล์มที่ซ้อนกัน หรือที่เราเรียกกันว่า ฟิล์มปรอทนั่นเอง
ซึ่งการผลิตแบบนี้อาจทำให้มีส่วนผสมของโลหะบางชนิดที่ไปรบกวนคลื่นสัญญาณดิจิทัล เช่น EasyPass หรือ GPS ทำให้ในบางครั้งต้องมีการเจาะเนื้อฟิล์มเพื่อติด easy pass นั่นเอง
-
การผลิตฟิล์มกรองแสงด้วยเทคโนโลยี Nano IR
ฟิล์มแบบนาโนก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ที่เพิ่งนำเข้ามาใช้ในการผลิตฟิล์มกรองแสง ซึ่งจะทำให้สามารถบรรจุองค์ประกอบของการป้องกันความร้อนในระดับนาโน หรืออนุภาคขนาดเล็ก คือ 1/1,000,000,000 เมตร ซึ่งอนุภาคนาโนที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันก็คือ ฟิล์มนาโนเซรามิค นั่นเอง
ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นก็คือ หากฟิล์มกรองแสงมีความเข้มเท่ากันจะสามารถป้องกันความร้อนได้ดีกว่า และสูงสุดถึงระดับ 99% ตามการทดสอบจากระดับรังสี 0–2400 นาโนเมตร และสามารถป้องกันความร้อนสูงสุด คงทนยาวนาน รับประกันเกิน 10 ปี ขึ้นไป เป็นฟิล์มกรองแสงที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
อ่านข้อมูลเรื่องประเภทฟิล์มกรองแสงอย่างละเอียด : ฟิล์มกรองแสงคืออะไร มีฟิล์มกี่ชนิด
-
เลือกประเภทของฟิล์มกรองแสงจากวัสดุการผลิต
-
ฟิล์มปรอท
มาเริ่มประเภทแรกกันด้วย ‘ฟิล์มปรอท’ ซึ่งฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ประเภทนี้ จะถูกเคลือบผิวด้วยไอโลหะต่าง ๆ ทำให้ตัวของเนื้อฟิล์มกลายเป็นสีสะท้อนเหมือนกับกระจกเงา ทำให้สามารถลดความร้อนภายในรถยนต์ได้ถึง 35-90% เลยทีเดียว แต่ก็จำเป็นต้องระวังอย่างมาก เพราะมันมีความมันวาวมากอาจจะไปสะท้อนแสงแยงตาผู้อื่นจนเกิดอุบัติเหตุได้เลย
ต้องติดตั้งฟิล์มปรอท แสงสะท้อนไม่เกิน 30% เพื่อไม่ให้ผิดกฏหมาย
-
ฟิล์มอินฟราเรด
ต่อกันด้วยฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ที่ใช้สารชนิดพิเศษ ‘ฟิล์มอินฟราเรด’ ซึ่งกระบวนการผลิตก็ตามชื่อของมัน เป็นการใช้สารเคมีพิเศษที่มีคุณสมบัติไปตัดรังสีอินฟราเรดมาใช้ในการเคลือบแผ่นฟิล์มนั่นเอง ซึ่งอาจจะเป็นสารเคลือบเป็นฟิล์มนาโน หรือ ฟิล์มเซรามิค นั่นเอง
รังสีอินฟราเรดก็คือรังสีที่นำพาความร้อนเข้ามาในตัวรถด้วยนั่นเอง นั่นเป็นเหตุผลที่มันกลายเป็นฟิล์มกรองแสงที่ป้องกันความร้อนได้ในระดับดีมาก สามารถสะท้อนรังสี UV ได้มาก แต่ราคาก็สูงตามขึ้นไปด้วย
-
ฟิล์มนิรภัย
สำหรับใครที่นอกจากจะต้องการปกป้องตัวเองจะความร้อนและรังสีต่างๆแล้ว ยังต้องการปกป้องตัวเองจากอุบัติเหตุด้วย ‘ฟิล์มนิรภัย’ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุดแล้ว เพราะมันเป็นฟิล์มติดรถยนต์ที่มีความหนาตั้งแต่ 4 มิล (4/1000 นิ้ว) ขึ้นไป
ทำให้มีคุณสมบัติในการช่วยยึดแผ่นกระจกให้คงรูปมากที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถดูดซับแรงจากการกระแทกไม่ให้กระจกแตกเมื่อเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย
-
ฟิล์มใสประเภทนาโน
สำหรับประเภทสุดท้ายในการเลือกจากวัสดุ ‘ฟิล์มใสนาโน’ เป็นฟิล์มติดรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีอนุภาคนาโนมาเคลือบเนื้อฟิล์ม ทำให้เนื้อฟิล์มใสไม่มีสี ซึ่งกลายเป็นข้อดีที่จะไม่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ หรือในบางครั้งจะเรียกว่า “ฟิล์มใสกันร้อน”
แม้ว่าแสงแดดจะส่องผ่านได้มากถึง 70% แต่ก็สามารถป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
ไม่รู้จะเลือกติดฟิล์มกรองแสงแบบไหน ประเภทไหน ถามเราสิครับ
-
เลือกค่าคุณสมบัติต่าง ๆ ของฟิล์มติดรถยนต์
-
ค่าความเข้มของฟิล์มกรองแสง
ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม40% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ 40% ขึ้นไป
ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม60% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ประมาณ 20%
ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม80% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ประมาณ 5%
ความเข้มของฟิล์มกรองแสงนั้น ปกติคนไทยจะเรียกคร่าวๆกันอยู่ที่ 3 ความเข้มคือ 40/60/80 คือเข้มน้อย เข้มกลาง เข้มมาก แต่ถ้าจะให้ดูละเอียดจริงๆแล้ว เราต้องดูที่ค่าแสงสว่างส่องผ่าน (VLT) ซึ่งจะถูกระบุใน spec ของฟิล์มกรองแสงจึงจะถูกต้องที่สุด
ติดฟิล์มรถยนต์กี่เปอร์เซ็นต์ดี?
เราสามารถเลือกติดความเข้มได้หลากหลายประเภท นั่นก็คือ ถ้าต้องการความเข้มสบายๆ เช้น ฟิล์มเข้มบานหน้า 40 รอบคัน 60 หรือ ติดฟิล์มรถยนต์ บานหน้า 60 รอบคัน 80 ถือว่าเป็น 2 เซ็ตความเข้มยอดนิยมสูงสุด แต่บางคนก็จะชอบสไตรถญี่ปุ่น 3บานหน้าใส 3บานหลังเข้ม 80 ก็สามารถติดได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การจะติดความเข้มกี่เปอร์เซ็นดีนั้น ต้องดูความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ว่าสายตาดีไหม ขับกลางคืนบ่อยไหม ขับต่างจังหวัดบ่อยไหม เป็นต้น และที่สำคัญต้องมาดูความเข้มของฟิล์มจริงๆ ก่อนติดตั้ง เพราะ ความเข้ม 40 60 80 เป็นแค่การบอกคร่าวๆเท่านั้น ฟิล์ม 60% จริงๆ อาจจะมีแสงสว่างส่องผ่าน(VLT) 15% 20% หรือ 25% ก็ได้ ทำให้ฟิล์ม60จริงๆแล้ว เข้มไม่เท่ากัน
คลิกดูเพิ่มเติม เทคนิคการเลือกความเข้มฟิล์ม
-
ค่าการลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด
หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Infrared Rejection (IRR) ซึ่งที่ต้องมีการลดรังสีนี้เพราะว่าอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนจะมีอยู่ 53% ของรังสีจากแสงอาทิตย์ ยิ่งลดได้มากเท่าไรก็จะยิ่งดี ซึ่งฟิล์มที่กันร้อนได้ดี ควรจะกันรังสีอินฟราเรดได้มากกว่า 80% ขึ้นไปด้วยนั่นเอง
-
ค่าการลดความร้อนรวม
หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Total Solar Energy Rejection (TSER) ซึ่งเป็นการนำค่าการลดความร้อนจากรังสี UV แสงสว่างส่องผ่าน และรังสีอินฟราเรดมารวมกัน ซึ่งจะมีวิธีคิดในหลายหลายมาตรฐานแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ ดังนั้น ในประเทศไทย เราจึงไม่แนะนำให้นำค่าการลดความร้อนรวมของฟิล์มกรองแสงแต่ละแบรนด์มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งฟิล์มที่กันร้อนได้ดีควรมีค่าการลดความร้อนรวม (TSER) มากกว่า 60% (มาตรฐาน ISO9050)
-
ค่าสะท้อนแสง
หรือที่เรียกว่า Visible Light rejection (VLR) มันจะเป็นค่าที่สามารถบ่งบอกได้ว่าฟิล์มกรองแสงนี้มีความเงาแค่ไหน ถ้าตัวเลขเปอร์เซ็นต์ยิ่งมาก แปลว่ายิ่งสะท้อนแสงมาก ฟิล์มก็จะมีเนื้อมันวาวคล้ายกระจก และค่าที่เหมาะสมคือกระจกบานหน้า-หลัง ไม่ควรมีค่าสะท้อนเกิน 10% และกระจกรอบคันไม่ควรเกิน 30%
หลายคนยังสนใจบทความเพิ่มเติม: วิธีอ่าน Spec ฟิล์มกรองแสง อย่างละเอียด
-
เลือกการรับประกันและการติดตั้งฟิล์ม
อีกสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อจะติดฟิล์มกรองแสงก็คือ ‘การรับประกันฟิล์ม’ โดยปกติแล้วฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์พวกนี้จะมีการรับประกันคุณภาพ 5 ปี 7 ปี หรือ 10 ปี แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละบริษัท แต่ไม่ควรจะต่ำกว่า 7 ปีนั่นแหละ
ที่สำคัญ ต้องดูเงื่อนไขการรับประกันด้วย ว่ารับประกันในส่วนไหนบ้าง เพราะฟิล์มกรองแสงแต่ละยี่ห้อ มีเงื่อนไขการรับประกันที่ต่างกัน บางยี่ห้อไม่รับประกันเรื่องฟิล์มสีซีด บางยี่ห้อไม่รับประกันเรื่องฟิล์มกันร้อนได้น้อยลง เป็นต้น
นอกจากนี้ การรับประกันฟิล์มกรองแสง ต้องดูเรื่องการรับประกันการติดตั้งด้วย เรื่อง ‘ช่างและร้านติดตั้ง’ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งควรจะเลือกร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายจากฟิล์มยี่ห้อนั้นโดยตรง และมี ห้องติดฟิล์มกรองแสง หรือ สถานที่ที่สะอาด ไม่มีฝุ่นสำหรับการติดฟิล์มรถยนต์โดยเฉพาะนั่นเอง อีกอย่าง จะต้องดูแลรักษาฟิล์มอย่างถูกต้องอีกด้วย
ติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีประโยชน์อย่างไร?
-
ป้องกันความร้อน
สำหรับประโยชน์ข้อแรกเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างตรงตามชื่อของมันเป๊ะ ๆ เพราะว่า ‘ฟิล์มกรองแสง’ ก็ต้องกรองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในแสงให้มันน้อยลง ซึ่งแสงแดดจากดวงอาทิตย์นั้นก็พกความร้อนมาเต็ม ๆ แน่นอน นอกจากนั้น สิ่งที่แสงแดดพกมาด้วยอีกอย่างคือรังสี UV ซึ่งผลเสียต่อเราได้มากเช่นกัน การติดฟิล์มไว้จะช่วยป้องกันได้ดี
-
รักษาอุปกรณ์ภายใน
แน่นอนว่าภายในรถยนต์ โดยเฉพาะบริเวณส่วนควบคุมนั้นจะต้องมีอุปกรณ์และส่วนประกอบอยู่มากมาย ถ้าหากว่าไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสงไว้นั้น ทั้งความร้อนและรังสีจากแสงแดดอาจจะสามารถเข้ามาทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นแทบทุกส่วนเสียหายได้เลย ไม่ว่าจะเบาะนั่ง แผงคอนโซล หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็อาจจะสีซีดและพังได้นั่นเอง
-
เพิ่มทัศนวิสัย
อุณหภูมิที่สูงลิ่วจากแสงแดดไม่ได้ส่งผลต่อแค่ผิวหนังเราตอนเรารู้สึกร้อนเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ขับรถยนต์อยู่ประจำ จะรู้ดีกว่าแสงแดดที่มันจ้าซะเหลือเกินเนี่ยทำดวงตาของเราไม่สามารถสู้ได้เลย และมองเห็นทางได้ไม่ชัดเจน ดังนั้น การติดฟิล์มกรองแสงจะช่วยลดทั้งความจ้าของแสงอาทิตย์ รวมถึงแสงไฟจากรถยนต์คันอื่นด้วย
-
เพิ่มความปลอดภัย
กระจกรถที่ใสก็อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับบางคนก็ได้ ซึ่งการติดฟิล์มกรองแสงจะมีส่วนช่วยแน่นอน เช่น หากเกิดอุบัติเหตุรถชนเล็กน้อย หรืออะไรกระเด็นใส่กระจก ฟิล์มกรองแสงจะช่วยยึดกระจกที่แตกนั้นไว้ด้วยกันไม่ให้หลุดมาบาดผู้ที่นั่งอยู่ได้ แล้วฟิล์มนี้ยังสามารถลดการมองเห็นจากคนภายนอก ต่อคนขับผู้หญิงหรือทรัพย์สินมีค่าได้ด้วย
-
ประหยัดน้ำมัน
ประโยชน์ข้อสุดท้ายนี้หลาย ๆ คนอาจจะนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเราไม่ติดฟิล์มกรองแสง ความร้อนก็จะเข้ามาในรถได้มาก และเมื่อเราร้อน เราก็จะเร่งแอร์ให้เย็นมากขึ้น ซึ่งเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์นั้นก็ต้องใช้พลังงานจากน้ำมันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราติดฟิล์ม อากาศก็จะร้อนน้อยลง เมื่อไม่ต้องเร่งแอร์ ก็จะไม่เปลืองน้ำมันนั่นเอง
สรุป 5 เทคนิคการเลือกฟิล์มติดรถยนต์อย่างไร?
อย่างที่บอกไปว่าการจะเลือก ‘ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์’ ไม่ใช่แค่เลือกราคาถูกๆเท่านั้น ต้องพิจารณาถึงหลายๆองค์ประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพฟิล์ม ยี่ห้อฟิล์มกรองแสง
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฟิล์มยี่ห้อไหนก็ตาม เราก็ควรจะเลือกที่วัสดุและการผลิตที่ได้คุณภาพ คุณสมบัติพื้นฐานครบถ้วน ทั้งการป้องกันความร้อนและรังสี UV จากดวงอาทิตย์ แต่อยู่ในช่วงราคาที่เหมาะสมนั่นเอง
เพราะสุดท้ายแล้ว รถสุดที่รักของเรา ถ้าเลือกติดฟิล์มกรองแสงที่ดี ก็มีชัยไปอีกหลายปีเลย ไม่ต้องมาปวดหัวเปลี่ยนฟิล์มรถยนต์กันบ่อยๆนั่นเอง
หลายคนยังสนใจบทความเพิ่มเติม: ติดฟิล์มรถยนต์ยี่ห้อไหนดี?
ทุกเรื่องฟิล์มรถยนต์ ติดฟิล์มบ้าน เราเชี่ยวชาญ สอบถามได้ทุกเวลา TOPFLIM Thailand ยินดีให้บริการ
โทร : 092-2689-689, 02-003-3583
Email : topfilm.th@gmail.com
Facebook : https://www.facebook.com/Topfilmthailand/
LINE : @Topfilmthai