5 เทคนิค เลือกติดฟิล์มรถยนต์อย่างไร 2024?

ร้อนแบบนี้! ติดฟิล์มรถยนต์ ทั้งที เลือกให้ดี ต้องเลือกจากอะไรบ้าง?

windowfilm

เกือบทุกคนที่เพิ่งซื้อรถยนต์มาใหม่ หนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่ต้องนึกถึงและเตรียมเงินไว้คงจะหนีไม่พ้น ‘การเลือกฟิล์มกรองแสง’ เพราะมันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศในเขตร้อนแบบไทยแลนด์ การจะเสี่ยงขับรถยนต์เปลือยเปล่าไปบนถนนในอุณหภูมิและแสงแดดแบบนี้โดยไม่ติดฟิล์มกรองแสง ย่อมจะส่งผลเสียมากกว่าส่งผลดีแน่นอน

แต่อย่างที่รู้กันว่าการจะติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์สักครั้ง ก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย อีกทั้งมีฟิล์มกรองแสงให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ หลายรุ่นเต็มไปหมด แม้กระทั่งร้านติดฟิล์มรถยนต์ ก็มีให้เลือกมากมายนับไม่ถ้วน หลายคนในPantip ยังสงสัยว่าการวิธีเลือกติดฟิล์มรถยนต์อย่างไรให้ดีที่สุด

วันนี้ TopFilm Thailand ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิล์มกรองแสง ประสบการณ์ในวงการฟิล์มกรองแสงมากกว่า 10 ปี เรามีคำตอบครับ

ตามไปดูกันเลย!!

สารบัญการเลือกฟิล์มติดรถยนต์

ไม่แน่ใจว่าเลือกฟิล์มติดรถยนต์อย่างไร ให้เข้ากับรถของคุณ ปรึกษาเราได้เลย ฟรี!!

call topfilmthailand

fb topfilm thailand

line topfilm thai

หลายคนยังสนใจบทความน่ารู้เพิ่มเติม


5 สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อน เลือกติดฟิล์มรถยนต์?

ราคาติดฟิล์มรถยนต์

  1. เลือกฟิล์มติดรถยนต์ จากระดับราคา ราคาถูก ราคาแพง

  • ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ทั่วไป ราคาถูก

ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ราคาถูกทั่วไปนั้น ราคาเริ่มได้ตั้งแต่หลักพันต้นๆ ไปจนถึงหลักพันกลางๆ ซึ่งโดยปกติแล้วฟิล์มติดรถยนต์ราคาถูก 1000 บาท ฟิล์มดำธรรมดานี้ผลิตมาด้วยกระบวนการย้อมสีให้ดำ อาจจะสามารถป้องกันแสงสว่างได้บางส่วน และกันรังสีจากดวงอาทิตย์ เช่น รังสี UV ได้บ้าง แต่อาจจะไม่ได้มากถึง 99% ขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟิล์ม 

แต่ติดฟิล์มดำธรรมดา ก็ไม่ได้รับประกันว่า จะสามารถป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยตรง เพราะว่า ในแสงแดดนั้นมีความร้อนสะสมจากรังสีอินฟราเรด ในปริมาณที่มากกว่า ว่าง่ายๆคือ ติดฟิล์มราคาถูก ดำอย่างเดียว กันแต่แสง แต่ไม่กันความร้อน ถ้าติดฟิล์มเกรดนี้ อาจจะต้องทำใจในการเปลี่ยนฟิล์มบ่อยๆในทุก 1-2 ปี เนื่องจากฟิล์มจะซีดเร็ว ลอก และพองเป็นฟองอากาศ และเปลี่ยนเป็นสีออกม่วงๆ

เทคนิคการเลือกฟิล์มราคาถูก คืออย่างน้อย แค่ป้องกันรังสี UVได้ 99% และสีฟิล์มต้องไม่ออกโทนสีม่วง ก็เพียงพอแล้ว

  • ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ระดับกลาง ราคามาตรฐาน

ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ระดับกลาง เป็นฟิล์มกรองแสงที่เคลือบสารกันร้อนมาระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสารโลหะต่างๆ ส่วนมากที่เราเรียกกันทั่วๆไปก็คือ ฟิล์มปรอท นั่นเอง มีความมันวาว กันความร้อนได้ดี กันรังสี UVได้ 99% เป็นเรื่องปกติ แต่กันร้อนได้มากน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคลือบสะท้อนแสง ราคาติดฟิล์มจะอยู่ที่ประมาณ พันกลางๆ เป็นเกรดราคาที่นิยม และขายดีที่สุดในประเทศไทย

เทคนิคการเลือกฟิล์มเกรดระดับกลาง คือ ค่าแสงสะท้อน (VLT) อยู่ระหว่าง 10-30% ค่าการป้องกันรังสีอินฟราเรด(IRR) 40-70% และ รับประกันนานกว่า 5-7 ปีขึ้นไป

  • ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม ราคาค่อนข้างสูง

ฟิล์มกรองแสงราคาสูง ซึ่งจะเหนือกว่าในด้านคุณภาพการป้องกันความร้อน ป้องกันรังสีอินฟราเรด มากกว่าฟิล์มติดรถยนต์ทั่วไป ราคาถูก แต่เมื่อคุณภาพเพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ต้องสูงตามมาด้วยก็คงหนีไม่พ้นราคา ส่วนมากฟิล์มที่ราคาสูงก็คงจะไม่พ้น “ฟิล์มเซรามิค” หรือประเภท “ฟิล์มนาโน”

โดยราคาติดฟิล์มจะเริ่มตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงขั้นหลายหมื่นเลยทีเดียว แต่มันก็คุ้มค่า เพราะฟิล์มกรองแสงระดับนี้ จะมอบคุณสมบัติบางอย่าง เช่น การลดแสงสะท้อนในห้องโดยสารเพื่อให้ขับขี่สบายตา หรือการป้องกันการแตกกระจายแบบนิรภัย การป้องกันความร้อนสูงสุดเกิน 90% เพิ่มมาให้นั่นเอง ถ้างบถึง ยังไงก็อยากให้ติดฟิล์มแบบคุณภาพสูง จะคุ้มค่ากว่าในระยะยาวครับ

ซึ่งในปัจจุบันฟิล์มเซรามิค ราคาก็เริ่มลดลงมาจากสมัยก่อนมากแล้ว สามารถติดตั้งได้ในราคาพันกลาง-ปลายๆ ซึ่งถือว่าเป็นฟิล์มกรองแสงประเภทที่เราแนะนำ

เทคนิคการเลือกฟิล์มเซรามิคเกรดพรีเมียม คือ ป้องกันรังสีอินฟราเรด(IRR)ได้มากกว่า 80% ขึ้นไป มีความคมชัด ออกแดดแล้วไม่ขุ่นมัว และ รับประกันนานกว่า 7-10 ปี ขึ้นไป

อ่านเพิ่มเติม:ราคาติดฟิล์มรถยนต์คิดอย่างไร

สอบถามราคาติดฟิล์มรถยนต์ตามยี่ห้อ ปรึกษาเราสิครับ

call topfilmthailand

fb topfilm thailand

line topfilm thai


typeofwindowfilm

  1. เลือกฟิล์มติดรถยนต์จากชนิดของฟิล์มกรองแสงจากเทคโนโลยีการผลิต

การเลือกฟิล์มติดรถยนต์จากเทคโนโลยีการผลิตสามารถเลือกดูได้จากโบรชัว หรือ ดูข้อมูลโดยตรงได้จากเว็บไซต์ผู้ผลิต สาเหตุที่ต้องดูเพราะว่าฟิล์มกรองแสงบางยี่ห้อ มีการโฆษณาที่เกินจริง หรือมีเทคนิคการเขียนที่ดูดี ทำให้ถ้าเราอ่านแต่คุณสมบัติของฟิล์มแล้วฟังดูดีเกินจริง อาจจะไม่รู้ว่าฟิล์มผลิตมาด้วยกระบวนการอะไร และทำให้ได้ฟิล์มที่คุณสมบัติด้อยกว่าความเป็นจริงได้

  • การผลิตฟิล์มด้วยเทคโนโลยีการย้อมสี Deep Dye Film

การผลิตฟิล์มกรองแสงประเภทนี้คือ การจุ่มเนื้อพลาสติกด้วยสีย้อม (Dye) เพื่อย้อมสีให้ฟิล์มเป็นสีดำเข้ม ทำให้มีความเข้มตามที่ต้องการ ปิดท้ายด้วยการเคลือบสารป้องกันรังสี UV ซึ่งเทคโนโลยีแบบนี้ทำให้ฟิล์มที่ได้ราคาประหยัด กันแสงได้ดี แต่ยังกันความร้อนได้ไม่ดีเท่าที่ควร

  • การผลิตฟิล์มด้วยเทคโนโลยี Multi Layers Metal Sputtering Film

การผลิตฟิล์มกรองแสงแบบนี้เป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิมที่ใช้มานานแล้ว โดยจะใช้วิธีการซ้อนทับแผ่นโลหะ หรือ สารป้องกันความร้อนให้เป็นชั้น ๆ แล้วก็สามารถป้องกันความร้อนได้จากฟิล์มที่ซ้อนกัน หรือที่เราเรียกกันว่า ฟิล์มปรอทนั่นเอง

ซึ่งการผลิตแบบนี้อาจทำให้มีส่วนผสมของโลหะบางชนิดที่ไปรบกวนคลื่นสัญญาณดิจิทัล เช่น Easy Pass หรือ GPS ทำให้ในบางครั้งต้องมีการเจาะเนื้อฟิล์มเพื่อติด easy pass นั่นเอง

แต่ในบางครั้งถึงแม้จะเป็นฟิล์มปรอทถ้าฉาบปรอทในปริมาณไม่สูง คลื่นสัญญาณดิจิทัลก็ตะสามารถยังผ่านได้เหมือนกับฟิล์มทั่วไปเหมือนกัน

  • การผลิตฟิล์มกรองแสงด้วยเทคโนโลยี Nano IR

ฟิล์มแบบนาโนก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ที่เพิ่งนำเข้ามาใช้ในการผลิตฟิล์มกรองแสง ซึ่งจะทำให้สามารถบรรจุองค์ประกอบของการป้องกันความร้อนในระดับนาโน หรืออนุภาคขนาดเล็ก คือ 1/1,000,000,000 เมตร ซึ่งอนุภาคนาโนที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันก็คือ ฟิล์มนาโนเซรามิค นั่นเอง

ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นก็คือ หากฟิล์มกรองแสงมีความเข้มเท่ากันจะสามารถป้องกันความร้อนได้ดีกว่า และสูงสุดถึงระดับ 99% ตามการทดสอบจากระดับรังสี 0–2400 นาโนเมตร และสามารถป้องกันความร้อนสูงสุด คงทนยาวนาน รับประกันเกิน 10 ปี ขึ้นไป เป็นฟิล์มกรองแสงที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

อ่านข้อมูลเรื่องประเภทฟิล์มกรองแสงอย่างละเอียด : ฟิล์มกรองแสงคืออะไร มีฟิล์มกี่ชนิด

ติดฟิล์มกรองแสงด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สอบถามเราได้เลยครับ

call topfilmthailand

fb topfilm thailand

line topfilm thai


choosewindowfilm

  1. เลือกประเภทของฟิล์มกรองแสงจากวัสดุการผลิต

  • ฟิล์มปรอท หรือฟิล์มฉาบโลหะ

มาเริ่มประเภทแรกกันด้วย ‘ฟิล์มปรอท’ ซึ่งฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ประเภทนี้ จะถูกเคลือบผิวด้วยไอโลหะต่าง ๆ ทำให้ตัวของเนื้อฟิล์มกลายเป็นสีสะท้อนคล้ายๆกับกระจกเงา ทำให้สามารถลดความร้อนภายในรถยนต์ได้ถึง 35-90% เลยทีเดียว แต่ก็จำเป็นต้องระวังอย่างมาก เพราะมันมีความมันวาวมากอาจจะไปสะท้อนแสงแยงตาผู้อื่นจนเกิดอุบัติเหตุได้เลย

ต้องติดตั้งฟิล์มปรอท แสงสะท้อนไม่เกิน 30% เพื่อไม่ให้ผิดกฏหมาย

  • ฟิล์มเซรามิค

ต่อกันด้วยฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ที่ใช้สารชนิดพิเศษ ‘ฟิล์มเซรามิค’ ซึ่งกระบวนการผลิตก็ตามชื่อของมัน เป็นการใช้สารผงอนุภาคนาโนเซรามิคที่มีคุณสมบัติไปตัดรังสีอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนมาใช้ในการเคลือบแผ่นฟิล์มนั่นเอง ซึ่งอาจจะเป็นสารเคลือบเป็นฟิล์มนาโน หรือ ฟิล์มเซรามิค นั่นเอง

รังสีอินฟราเรดก็คือรังสีที่นำพาความร้อนเข้ามาในตัวรถด้วยนั่นเอง นั่นเป็นเหตุผลที่มันกลายเป็นฟิล์มกรองแสงที่ป้องกันความร้อนได้ในระดับดีมาก สามารถสะท้อนรังสี UV ได้มาก แต่ราคาก็สูงตามขึ้นไปด้วย

  • ฟิล์มนิรภัย

สำหรับใครที่นอกจากจะต้องการปกป้องตัวเองจะความร้อนและรังสีต่างๆแล้ว ยังต้องการปกป้องตัวเองจากอุบัติเหตุด้วย ‘ฟิล์มนิรภัย’ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุดแล้ว เพราะมันเป็นฟิล์มติดรถยนต์ที่มีความหนาตั้งแต่ 4 มิล (4/1000 นิ้ว) ขึ้นไป

ทำให้มีคุณสมบัติในการช่วยยึดแผ่นกระจกให้คงรูปมากที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถดูดซับแรงจากการกระแทกไม่ให้กระจกแตกเมื่อเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย

  • ฟิล์มใสประเภทนาโน

สำหรับประเภทสุดท้ายในการเลือกจากวัสดุ ‘ฟิล์มใสนาโน’ เป็นฟิล์มติดรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีอนุภาคนาโนมาเคลือบเนื้อฟิล์ม ทำให้เนื้อฟิล์มใสไม่มีสี ซึ่งกลายเป็นข้อดีที่จะไม่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ หรือในบางครั้งจะเรียกว่า “ฟิล์มใสกันร้อน” แม้ว่าแสงแดดจะส่องผ่านได้มากถึง 70% แต่ก็สามารถป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน

ไม่รู้จะเลือกติดฟิล์มกรองแสงแบบไหน ประเภทไหน ถามเราสิครับ

call topfilmthailand

fb topfilm thailand

line topfilm thai


VLTwindowfilm

  1. เลือกค่าคุณสมบัติต่าง ๆ ของฟิล์มติดรถยนต์

  • ค่าความเข้มของฟิล์มกรองแสง(VLT)

ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม40% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ 40% ขึ้นไป

ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม60% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ประมาณ 20%

ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม80% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ประมาณ 5%

ความเข้มของฟิล์มกรองแสงนั้น ปกติคนไทยจะเรียกคร่าวๆกันอยู่ที่ 3 ความเข้มคือ 40/60/80 คือเข้มน้อย เข้มกลาง เข้มมาก แต่ถ้าจะให้ดูละเอียดจริงๆแล้ว เราต้องดูที่ค่าแสงสว่างส่องผ่าน (VLT) ซึ่งจะถูกระบุใน spec ของฟิล์มกรองแสงจึงจะถูกต้องที่สุด

ติดฟิล์มรถยนต์กี่เปอร์เซ็นต์ดี?

เราสามารถเลือกติดความเข้มได้หลากหลายประเภท นั่นก็คือ ถ้าต้องการความเข้มสบายๆ เช้น ฟิล์มเข้มบานหน้า 40 รอบคัน 60 หรือ ติดฟิล์มรถยนต์ บานหน้า 60 รอบคัน 80 ถือว่าเป็น 2 เซ็ตความเข้มยอดนิยมสูงสุด แต่บางคนก็จะชอบสไตรถญี่ปุ่น 3บานหน้าใส 3บานหลังเข้ม 80 ก็สามารถติดได้เช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม การจะติดความเข้มกี่เปอร์เซ็นดีนั้น ต้องดูความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ว่าสายตาดีไหม ขับกลางคืนบ่อยไหม ขับต่างจังหวัดบ่อยไหม เป็นต้น และที่สำคัญต้องมาดูความเข้มของฟิล์มจริงๆ ก่อนติดตั้ง เพราะ ความเข้ม 40 60 80 เป็นแค่การบอกคร่าวๆเท่านั้น ฟิล์ม 60% จริงๆ อาจจะมีแสงสว่างส่องผ่าน(VLT) 15% 20% หรือ 25% ก็ได้ ทำให้ฟิล์ม60จริงๆแล้ว เข้มไม่เท่ากัน

คลิกดูเพิ่มเติม เทคนิคการเลือกความเข้มฟิล์ม

ฟิล์มอาคารความเข้ม 40 60 80 หมายถึงอะไร ติดฟิล์มเข้มเท่าไรดี

  • ค่าการลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด(IRR)

หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Infrared Rejection (IRR) ซึ่งที่ต้องมีการลดรังสีนี้เพราะว่าอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนจะมีอยู่ 53% ของรังสีจากแสงอาทิตย์ ยิ่งลดได้มากเท่าไรก็จะยิ่งดี ซึ่งฟิล์มที่กันร้อนได้ดี ควรจะกันรังสีอินฟราเรดได้มากกว่า 80% ขึ้นไปด้วยนั่นเอง

  • ค่าการลดความร้อนรวม(TSER)

หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Total Solar Energy Rejection (TSER) ซึ่งเป็นการนำค่าการลดความร้อนจากรังสี UV แสงสว่างส่องผ่าน และรังสีอินฟราเรดมารวมกัน

ค่าลดความร้อนรวม (TSER) จะมีวิธีคิดในหลายหลายมาตรฐานแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อในประเทศไทย ดังนั้น ในประเทศไทย เราจึงไม่แนะนำให้นำค่าการลดความร้อนรวมของฟิล์มกรองแสงแต่ละแบรนด์มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งฟิล์มที่กันร้อนได้ดีควรมีค่าการลดความร้อนรวม (TSER) มากกว่า 60% (มาตรฐาน ISO9050)

  • ค่าสะท้อนแสง(VLR)

ค่าสะท้อนแสงหรือที่เรียกว่า Visible Light rejection (VLR) มันจะเป็นค่าที่สามารถบ่งบอกได้ว่าฟิล์มกรองแสงนี้มีความเงาแค่ไหน ถ้าตัวเลขเปอร์เซ็นต์ยิ่งมาก แปลว่ายิ่งสะท้อนแสงมาก ฟิล์มก็จะมีเนื้อมันวาวคล้ายกระจก และค่าที่เหมาะสมคือกระจกบานหน้า-หลัง ไม่ควรมีค่าสะท้อนเกิน 10% และกระจกรอบคันไม่ควรเกิน 30%

  • ค่าการลดรังสี UV (UVR)

ค่าการลดรังสี UV (UVR) คือการป้องกันรังสี UV ที่เป็นอันตรายต่อดวงตาและผิวหนัง ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว ฟิล์มกรองแสงทุกชนิดไม่ว่าจะถูกหรือแพง หรือยี่ห้อไหนๆก็ตามจะสามารถป้องกันรังสี UV ได้ 99% อยู่แล้ว

นอกจากคุณสมบัติต่างๆที่กล่าวมาแล้วยังมี Spec แบบละเอียดอีกหลายตัวซึ่งแนะนำให้อ่านบทความเพิ่มเติมที่นี่ครับ: วิธีอ่าน Spec ฟิล์มกรองแสง อย่างละเอียด


WINDOWFILM-warrantee

  1. เลือกการรับประกันและการติดตั้งฟิล์ม

อีกสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อจะติดฟิล์มกรองแสงก็คือ ‘การรับประกันฟิล์ม’ โดยปกติแล้วฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์พวกนี้จะมีการรับประกันคุณภาพ 5 ปี 7 ปี หรือ 10 ปี แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละบริษัท แต่ไม่ควรจะต่ำกว่า 7 ปีนั่นแหละ

ที่สำคัญ ต้องดูเงื่อนไขการรับประกันด้วย ว่ารับประกันในส่วนไหนบ้าง เพราะฟิล์มกรองแสงแต่ละยี่ห้อ มีเงื่อนไขการรับประกันที่ต่างกัน บางยี่ห้อไม่รับประกันเรื่องฟิล์มสีซีด บางยี่ห้อไม่รับประกันเรื่องฟิล์มกันร้อนได้น้อยลง เป็นต้น

ข้อควรระวังของการรับประกันฟิล์มกรองแสงอีกอย่างคือ เมื่อฟิล์มเสื่อมแล้ว ช่างมักจะบอกว่ารับประกันฟิล์ม แต่ไม่รวมค่าแรง นั่นหมายความว่าเมื่อจะต้องมีการเปลี่ยนฟิล์ม ฟิล์มฟรีก็จริง ก็จะต้องเสียค่าแรงติดตั้งอยู่ดี ไม่ได้ฟรี 100% แต่บางร้านก็จะเปลี่ยนให้ฟรีทั้งหมด เพราะฉะนั้นก่อนติด อาจจะต้องถามร้านติดฟิล์มเรื่องนี้ให้ละเอียดอีกที

นอกจากนี้ การรับประกันฟิล์มกรองแสง ต้องดูเรื่องการรับประกันการติดตั้งด้วย เรื่อง ‘ช่างและร้านติดตั้ง’ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งควรจะเลือกร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายจากฟิล์มยี่ห้อนั้นโดยตรง และมี ห้องติดฟิล์มกรองแสง หรือ สถานที่ที่สะอาด ไม่มีฝุ่นสำหรับการติดฟิล์มรถยนต์โดยเฉพาะนั่นเอง อีกอย่าง จะต้องดูแลรักษาฟิล์มอย่างถูกต้องอีกด้วย

ที่สำคัญ ควรเลือกร้านที่มีหน้าร้านแน่นอน หรือ เป็นบริษัทจำกัดเลย ยิ่งดี

อีก 1 จุดที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเลยคือ ควรจะเลือกร้านที่มีหน้าร้านชัดเจน เพราะเมื่อฟิล์มเกิดปัญหา เราจะสามารถเข้าไปเคลมที่ร้านได้อย่างแน่นอน ในบางครั้งเราอาจจะเห็นช่างวิ่ง Freelance รับงานในกลุ่ม Facebook ราคาไม่แพง แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหามักจะเกิดเมื่อเราต้องการเคลมฟิล์ม หรือเปลี่ยนฟิล์มใหม่ ช่างก็มักจะหาเหตุผลร้อยแปดปัดความรับผิดชอบนั้น หรือในบางครั้งก็ไม่สามารถตามตัวได้เลย ต่อให้ฟิล์มรับประกัน 7 ปี แต่ช่างไม่เคลมก็จบเช่นเดียวกัน

ติดฟิล์มกับ Topfilm Thailand หมดห่วงเรื่องการรับประกันฟิล์มอย่างแน่นอน

call topfilmthailand

fb topfilm thailand

line topfilm thai


ประโยชน์ของฟิล์มกรองแสง

ติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีประโยชน์อย่างไร?

  1. ป้องกันความร้อน

สำหรับประโยชน์ข้อแรกเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างตรงตามชื่อของมันเป๊ะ ๆ เพราะว่า ‘ฟิล์มกรองแสง’ ก็ต้องกรองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในแสงให้มันน้อยลง ซึ่งแสงแดดจากดวงอาทิตย์นั้นก็พกความร้อนมาเต็ม ๆ แน่นอน นอกจากนั้น สิ่งที่แสงแดดพกมาด้วยอีกอย่างคือรังสี UV ซึ่งผลเสียต่อเราได้มากเช่นกัน การติดฟิล์มไว้จะช่วยป้องกันได้ดี

  1. รักษาอุปกรณ์ภายใน

แน่นอนว่าภายในรถยนต์ โดยเฉพาะบริเวณส่วนควบคุมนั้นจะต้องมีอุปกรณ์และส่วนประกอบอยู่มากมาย ถ้าหากว่าไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสงไว้นั้น ทั้งความร้อนและรังสีจากแสงแดดอาจจะสามารถเข้ามาทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นแทบทุกส่วนเสียหายได้เลย ไม่ว่าจะเบาะนั่ง แผงคอนโซล หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็อาจจะสีซีดและพังได้นั่นเอง

  1. เพิ่มทัศนวิสัย

อุณหภูมิที่สูงลิ่วจากแสงแดดไม่ได้ส่งผลต่อแค่ผิวหนังเราตอนเรารู้สึกร้อนเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ขับรถยนต์อยู่ประจำ จะรู้ดีกว่าแสงแดดที่มันจ้าซะเหลือเกินเนี่ยทำดวงตาของเราไม่สามารถสู้ได้เลย และมองเห็นทางได้ไม่ชัดเจน ดังนั้น การติดฟิล์มกรองแสงจะช่วยลดทั้งความจ้าของแสงอาทิตย์ รวมถึงแสงไฟจากรถยนต์คันอื่นด้วย

  1. เพิ่มความปลอดภัย

กระจกรถที่ใสก็อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับบางคนก็ได้ ซึ่งการติดฟิล์มกรองแสงจะมีส่วนช่วยแน่นอน เช่น หากเกิดอุบัติเหตุรถชนเล็กน้อย หรืออะไรกระเด็นใส่กระจก ฟิล์มกรองแสงจะช่วยยึดกระจกที่แตกนั้นไว้ด้วยกันไม่ให้หลุดมาบาดผู้ที่นั่งอยู่ได้ แล้วฟิล์มนี้ยังสามารถลดการมองเห็นจากคนภายนอก ต่อคนขับผู้หญิงหรือทรัพย์สินมีค่าได้ด้วย

  1. ประหยัดน้ำมัน

ประโยชน์ข้อสุดท้ายนี้หลาย ๆ คนอาจจะนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเราไม่ติดฟิล์มกรองแสง ความร้อนก็จะเข้ามาในรถได้มาก และเมื่อเราร้อน เราก็จะเร่งแอร์ให้เย็นมากขึ้น ซึ่งเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์นั้นก็ต้องใช้พลังงานจากน้ำมันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราติดฟิล์ม อากาศก็จะร้อนน้อยลง เมื่อไม่ต้องเร่งแอร์ ก็จะไม่เปลืองน้ำมันนั่นเอง


สรุป 5 เทคนิคการเลือกฟิล์มติดรถยนต์อย่างไร?

อย่างที่บอกไปว่าการจะเลือก ‘ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์’ ไม่ใช่แค่เลือกราคาถูกๆเท่านั้น ต้องพิจารณาถึงหลายๆองค์ประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพฟิล์ม ยี่ห้อฟิล์มกรองแสง

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฟิล์มยี่ห้อไหนก็ตาม เราก็ควรจะเลือกที่วัสดุและการผลิตที่ได้คุณภาพ คุณสมบัติพื้นฐานครบถ้วน ทั้งการป้องกันความร้อนและรังสี UV จากดวงอาทิตย์ แต่อยู่ในช่วงราคาที่เหมาะสมนั่นเอง

เพราะสุดท้ายแล้ว รถสุดที่รักของเรา ถ้าเลือกติดฟิล์มกรองแสงที่ดี ก็มีชัยไปอีกหลายปีเลย ไม่ต้องมาปวดหัวเปลี่ยนฟิล์มรถยนต์กันบ่อยๆนั่นเอง

หลายคนยังสนใจบทความเพิ่มเติม: ติดฟิล์มรถยนต์ยี่ห้อไหนดี?

ทุกเรื่องฟิล์มรถยนต์ ติดฟิล์มบ้าน เราเชี่ยวชาญ สอบถามได้ทุกเวลา TOPFLIM Thailand ยินดีให้บริการ 

โทร : 092-2689-689, 02-003-3583

Email : topfilm.th@gmail.com

Facebook : https://www.facebook.com/Topfilmthailand/

LINE : @Topfilmthai

call topfilmthailand

fb topfilm thailand

line topfilm thai

 

สินค้าและบริการติดฟิล์มอาคาร

topfilm ผลงานติดฟิล์มที่ผ่านมา