ร้อนแบบนี้! ‘ติดฟิล์มรถยนต์’ ทั้งที เลือกให้ดี ต้องเลือกจากอะไรบ้าง?
เกือบทุกคนที่เพิ่งซื้อรถยนต์มาใหม่ หนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่ต้องนึกถึงและเตรียมเงินไว้คงจะหนีไม่พ้น ‘ฟิล์มกรองแสง’ เพราะมันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศในเขตร้อนแบบไทยแลนด์ การจะเสี่ยงขับรถยนต์เปลือยเปล่าไปบนถนนในอุณหภูมิและแสงแดดแบบนี้ ย่อมจะส่งผลเสียมากกว่าส่งผลดีแน่นอน แต่อย่างที่รู้กันว่าการจะติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์สักครั้งก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย หลายคนในPantip ยังสงสัยว่าการติดฟิล์มกรองแสงนั้นมีประโยชน์อย่างไร แล้วมีวิธีเลือกอย่างไรให้ดีที่สุด วันนี้เรามีคำตอบ
หลายคนยังสนใจบทความน่ารู้เพิ่มเติม
- ติดฟิล์มรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี?
- ฟิล์มกรองแสง คืออะไร?
- เทคนิคการเลือกติดฟิล์มบ้าน
- วิธีการดูแลรักษาฟิล์มอย่างถูกต้อง
ติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์มีประโยชน์อย่างไร?
ป้องกันความร้อน
สำหรับประโยชน์ข้อแรกเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างตรงตามชื่อของมันเป๊ะ ๆ เพราะว่า ‘ฟิล์มกรองแสง’ ก็ต้องกรองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในแสงให้มันน้อยลง ซึ่งแสงแดดจากดวงอาทิตย์นั้นก็พกความร้อนมาเต็ม ๆ แน่นอน นอกจากนั้น สิ่งที่แสงแดดพกมาด้วยอีกอย่างคือรังสี UV ซึ่งผลเสียต่อเราได้มากเช่นกัน การติดฟิล์มไว้จะช่วยป้องกันได้ดี
รักษาอุปกรณ์ภายใน
แน่นอนว่าภายในรถยนต์ โดยเฉพาะบริเวณส่วนควบคุมนั้นจะต้องมีอุปกรณ์และส่วนประกอบอยู่มากมาย ถ้าหากว่าไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสงไว้นั้น ทั้งความร้อนและรังสีจากแสงแดดอาจจะสามารถเข้ามาทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นแทบทุกส่วนเสียหายได้เลย ไม่ว่าจะเบาะนั่ง แผงคอนโซล หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็อาจจะสีซีดและพังได้นั่นเอง
เพิ่มทัศนวิสัย
อุณหภูมิที่สูงลิ่วจากแสงแดดไม่ได้ส่งผลต่อแค่ผิวหนังเราตอนเรารู้สึกร้อนเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ขับรถยนต์อยู่ประจำ จะรู้ดีกว่าแสงแดดที่มันจ้าซะเหลือเกินเนี่ยทำดวงตาของเราไม่สามารถสู้ได้เลย และมองเห็นทางได้ไม่ชัดเจน ดังนั้น การติดฟิล์มกรองแสงจะช่วยลดทั้งความจ้าของแสงอาทิตย์ รวมถึงแสงไฟจากรถยนต์คันอื่นด้วย
เพิ่มความปลอดภัย
กระจกรถที่ใสก็อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับบางคนก็ได้ ซึ่งการติดฟิล์มกรองแสงจะมีส่วนช่วยแน่นอน เช่น หากเกิดอุบัติเหตุรถชนเล็กน้อย หรืออะไรกระเด็นใส่กระจก ฟิล์มกรองแสงจะช่วยยึดกระจกที่แตกนั้นไว้ด้วยกันไม่ให้หลุดมาบาดผู้ที่นั่งอยู่ได้ แล้วฟิล์มนี้ยังสามารถลดการมองเห็นจากคนภายนอก ต่อคนขับผู้หญิงหรือทรัพย์สินมีค่าได้ด้วย
ประหยัดน้ำมัน
ประโยชน์ข้อสุดท้ายนี้หลาย ๆ คนอาจจะนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเราไม่ติดฟิล์มกรองแสง ความร้อนก็จะเข้ามาในรถได้มาก และเมื่อเราร้อน เราก็จะเร่งแอร์ให้เย็นมากขึ้น ซึ่งเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์นั้นก็ต้องใช้พลังงานจากน้ำมันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราติดฟิล์ม อากาศก็จะร้อนน้อยลง เมื่อไม่ต้องเร่งแอร์ ก็จะไม่เปลืองน้ำมันนั่นเอง
เลือกติดฟิล์มรถยนต์อย่างไรบ้าง?
เลือกฟิล์มติดรถยนต์จากระดับราคา ราคาถูก ราคาแพง
- ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ทั่วไป ราคาถูก
โดยทั่วไปแล้วจะเป็นฟิล์มกรองแสงที่มีราคาปกติ ไม่แพงเกินไป ไม่ถูกจนเกินไป เริ่มได้ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นต้น ๆ ซึ่งโดยปกติแล้วฟิล์มติดรถยนต์ทั่วไปนี้ อาจจะสามารถป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์อย่างเช่น รังสี UV ได้มากถึง 99% แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่า จะสามารถป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยตรง เพราะว่า ในแสงแดดนั้นมีความร้อนสะสมจากรังสีอินฟราเรด ในปริมาณที่มากกว่า
- ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม ราคาค่อนข้างสูง
ฟิล์มกรองแสงราคาสูง ซึ่งจะเหนือกว่าในด้านคุณภาพการป้องกันความร้อนที่มากกว่าฟิล์มติดรถยนต์ทั่วไป ราคาถูก แต่เมื่อคุณภาพเพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ต้องสูงตามมาด้วยก็คงหนีไม่พ้นราคา โดยจะเริ่มตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงขั้นหลายหมื่นเลยทีเดียว แต่มันก็คุ้มค่า เพราะฟิล์มกรองแสงระดับนี้ จะมอบคุณสมบัติบางอย่าง เช่น การลดแสงสะท้อนในห้องโดยสารเพื่อให้ขับขี่สบายตา หรือการป้องกันการแตกกะจายแบบนิรภัย การป้องกันความร้อนสูงสุดเกิน 90% เพิ่มมาให้นั่นเอง
คลิกดู ราคาติดฟิล์มรถยนต์
เลือกฟิล์มติดรถยนต์จากชนิดของฟิล์มกรองแสงจากเทคโนโลยีการผลิต
- การผลิตฟิล์มด้วยเทคโนโลยี Multi Layers Sputtering Film
การผลิตฟิล์มกรองแสงแบบนี้เป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิมที่ใช้มานานแล้ว โดยจะใช้วิธีการซ้อนทับแผ่นสารป้องกันความร้อนให้เป็นชั้น ๆ แล้วก็สามารถป้องกันความร้อนได้จากฟิล์มที่ซ้อนกัน หรือที่เราเรียกกันว่า ฟิล์มปรอทนั่นเอง ซึ่งการผลิตแบบนี้อาจทำให้มีส่วนผสมของโลหะบางชนิดที่ไปรบกวนคลื่นสัญญาณดิจิทัล เช่น EasyPass หรือ GPS ทำให้ในบางครั้งต้องมีการเจาะเนื้อฟิล์มเพื่อติด easy pass นั่นเอง
- การผลิตฟิล์มกรองแสงด้วยเทคโนโลยี Nano IR
ก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ที่เพิ่งนำเข้ามาใช้ในการผลิตฟิล์มกรองแสง ซึ่งจะทำให้สามารถบรรจุองค์ประกอบของการป้องกันความร้อนในระดับนาโน หรืออนุภาคขนาดเล็ก คือ 1/1,000,000,000 เมตร ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นก็คือ หากฟิล์มกรองแสงมีความเข้มเท่ากันจะสามารถป้องกันความร้อนได้ดีกว่า และสูงสุดถึงระดับ 99% ตามการทดสอบจากระดับรังสี 0–2400 นาโนเมตร และสามารถป้องกันความร้อนสูงสุด คงทนยาวนาน รับประกันเกิน 10 ปี ขึ้นไป เป็นฟิล์มกรองแสงที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
เลือกประเภทของฟิล์มกรองแสงจากวัสดุการผลิต
- ฟิล์มปรอท
มาเริ่มประเภทแรกกันด้วย ‘ฟิล์มปรอท’ ซึ่งฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ประเภทนี้มันจะถูกเคลือบผิวด้วยไอโลหะต่าง ๆ ทำให้ตัวของเนื้อฟิล์มกลายเป็นสีสะท้อนเหมือนกับกระจกเงา ทำให้สามารถลดความร้อนภายในรถยนต์ได้ถึง 35-90% เลยทีเดียว แต่ก็จำเป็นต้องระวังอย่างมาก เพราะมันมีความมันวาวมากอาจจะไปสะท้อนแสงแยงตาผู้อื่นจนเกิดอุบัติเหตุได้เลย
- ฟิล์มอินฟราเรด
ต่อกันด้วยฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ที่ใช้สารชนิดพิเศษ ‘ฟิล์มอินฟราเรด’ ซึ่งกระบวนการผลิตก็ตามชื่อของมัน เป็นการใช้สารเคมีพิเศษที่มีคุณสมบัติไปตัดรังสีอินฟราเรดมาใช้ในการเคลือบแผ่นฟิล์มนั่นเอง รังสีอินฟราเรดก็คือรังสีที่นำพาความร้อนเข้ามาในตัวรถด้วยนั่นเอง นั่นเป็นเหตุผลที่มันกลายเป็นฟิล์มกรองแสงที่ป้องกันความร้อนได้ในระดับดีมาก สามารถสะท้อนรังสี UV ได้มาก แต่ราคาก็สูงตามขึ้นไปด้วย
สำหรับใครที่นอกจากจะต้องการปกป้องตัวเองจะความร้อนและรังสีต่างๆแล้ว ยังต้องการปกป้องตัวเองจากอุบัติเหตุด้วย ‘ฟิล์มนิรภัย’ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุดแล้ว เพราะมันเป็นฟิล์มติดรถยนต์ที่มีความหนาตั้งแต่ 4 มิลลิเมตรขึ้นไป ทำให้มีคุณสมบัติในการช่วยยึดแผ่นกระจกให้คงรูปมากที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถดูดซับแรงจากการกระแทกไม่ให้กระจกแตกเมื่อเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย
- ฟิล์มใสประเภทนาโน
สำหรับประเภทสุดท้ายในการเลือกจากวัสดุ ‘ฟิล์มใสนาโน’ เป็นฟิล์มติดรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีอนุภาคนาโนมาเคลือบเนื้อฟิล์ม ทำให้เนื้อฟิล์มใสไม่มีสี ซึ่งกลายเป็นข้อดีที่จะไม่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ หรือในบางครั้งจะเรียกว่า “ฟิล์มใสกันร้อน” แม้ว่าแสงแดดจะส่องผ่านได้มากถึง 60% แต่ก็สามารถป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
เลือกค่าคุณสมบัติต่าง ๆ ของฟิล์มติดรถยนต์
- ค่าความเข้มของฟิล์มกรองแสง
ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม40% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ 40% ขึ้นไป
ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม60% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ประมาณ 20%
ฟิล์มติดรถยนต์เข้ม80% คือฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ประมาณ 5%
เราสามารถเลือกติดความเข้มได้หลากหลายประเภท นั่นก็คือ ฟิล์ม 40 60 หรือ ติดฟิล์มรถยนต์ 60 80 ทั้งนี้ก็แล้วแต่ลูกค้าชอบ
คลิกดู เทคนิคการเลือกความเข้มฟิล์ม
- ค่าการลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด
หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Infrared Rejection (IRR) ซึ่งที่ต้องมีการลดรังสีนี้เพราะว่าอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนจะมีอยู่ 53% ของรังสีจากแสงอาทิตย์ ยิ่งลดได้มากเท่าไรก็จะยิ่งดี ซึ่งฟิล์มที่กันร้อนได้ดี ควรจะกันรังสีอินฟราเรดได้มากกว่า 80% ขึ้นไปด้วยนั่นเอง
- ค่าการลดความร้อนรวม
หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Total Solar Energy Rejection (TSER) ซึ่งเป็นการนำค่าการลดความร้อนจากรังสี UV แสงสว่างส่องผ่าน และรังสีอินฟราเรดมารวมกัน ซึ่งจะมีวิธีคิดในหลายมาตรฐานแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ จึงไม่แนะนำให้นำค่าการลดความร้อนรวมของแต่ละแบรนด์มาเปรียบเทียบกัน
หรือที่เรียกว่า Visible Light rejection (VLR) มันจะเป็นค่าที่สามารถบ่งบอกได้ว่าฟิล์มกรองแสงนี้มีความเงาแค่ไหน ถ้าตัวเลขเปอร์เซ็นต์ยิ่งมาก แปลว่ายิ่งสะท้อนแสงมาก ฟิล์มก็จะมีเนื้อมันวาวคล้ายกระจก และค่าที่เหมาะสมคือกระจกบานหน้า-หลัง ไม่ควรมีค่าสะท้อนเกิน 10% และกระจกรอบคันไม่ควรเกิน 30%
เลือกการรับประกันและการติดตั้งฟิล์ม
อีกสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อจะติดฟิล์มกรองแสงก็คือ ‘การรับประกันฟิล์ม’ โดยปกติแล้วฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์พวกนี้จะมีการรับประกันคุณภาพ 5 ปี 7 ปี หรือ 10 ปี แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละบริษัท แต่ไม่ควรจะต่ำกว่า 7 ปีนั่นแหละ นอกจากนี้ เรื่อง ‘ช่างและร้านติดตั้ง’ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งควรจะเลือกร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายจากฟิล์มยี่ห้อนั้นโดยตรง และมีสถานที่ที่สะอาดและไม่มีฝุ่นสำหรับการติดฟิล์มรถยนต์โดยเฉพาะนั่นเอง อีกอย่าง จะต้องดูแลรักษาฟิล์มอย่างถูกต้องอีกด้วย
อย่างที่บอกไปว่า ‘ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์’ นั้นเป็นส่วนประกอบที่อาจจะมองไม่ค่อยเห็นแต่สำคัญมาก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฟิล์มยี่ห้อไหนก็ตามควรจะเลือกที่วัสดุและการผลิตที่ได้คุณภาพ คุณสมบัติพื้นฐานครบถ้วน ทั้งการป้องกันความร้อนและรังสี UV จากดวงอาทิตย์ แต่อยู่ในช่วงราคาที่เหมาะสมนั่นเอง เพราะมันคือรถของเรา ถ้าเลือกติดฟิล์มกรองแสงที่ดี ก็มีชัยไปอีกหลายปีเลย
ทุกเรื่องฟิล์มติดอาคาร ติดฟิล์มบ้าน ฟิล์มรถยนต์ เราเชี่ยวชาญ สอบถามได้ทุกเวลา TOPFLIM Thailand ยินดีให้บริการ
โทร : 092-2689-689, 02-003-3583
Email : topfilm.th@gmail.com
Facebook : https://www.facebook.com/Topfilmthailand/
LINE :Topfilmthai